วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

มิกกี้เมาส์น่ารัก



        มิกกี้ เมาส์ (อังกฤษ: Mickey Mouse) เป็นตัวละครการ์ตูนที่ครองใจเด็กๆทั่วโลก มีลักษณะเป็นหนูสีดำ สวมกางเกงเอี๊ยมสีแดง ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2471 โดยวอลต์ ดิสนีย์ และอับ ไอเวิร์กส ให้เสียงโดยวอลต์ ดิสนีย์
จุดกำเนิดของมิกกี้ เมาส์ เกิดขึ้นขณะที่วอล์ต ดิสนีย์ นั่งอยู่บนรถไฟระหว่างทางมุ่งสู่ลอสแอนเจลิส เขาลงมือสเก็ตช์ภาพคาแรกเตอร์หนูเล็ก ๆ สวมกางเกงสีแดง ขึ้นมา โดยมีอับ ไอเวิร์กสออกแบบรูปร่างลักษณะ การ์ตูนเสียงเรื่องแรก "Steamboat Willie" เข้าฉายที่ New York's Colony Theatre โดยทางนิวยอร์กไทม์เขียนไว้ว่า "เป็นผลงานที่มีความคิดสร้างสรรค์เยี่ยมยอดและสนุก                                                               

        บุคลิกของมิกกี้ เมาส์คือ มองโลกในแง่ดี มีความกระตือรือร้น ถ่อมตัวและเรียบง่าย ซื่อสัตย์ ชอบร้องอุทาน "Gosh" หรือบางครั้งก็ "Oh boy!", "Aw-Gee" ,"Uh-Oh!" ชอบอ่าน Newsweek, time, Life, National Geographic, Good Housekeeping มีหวานใจชื่อว่ามินนี่เมาส์ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนที่ครองใจเด็กๆทั่วโลกเช่นกัน นอกจากนี้มิกกี้เมาส์ยังมีสุนัขสีน้ำตาลแสนรัก ชื่อว่า พลูโตที่เป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ ฉลาดและแสนรู้

 







วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

10 อันดับ สุดยอดอาหารสุดโหด

อาหารเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับชีวิตมนุษย์ที่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ในโลกใบนี้ มนุษย์ก็จะสรรหาวัตถุดิบต่างๆ มาทำเป็นอาหาร เพื่อให้มีรสชาติ หรือช่วยให้ร่างกายอุดมสมบูรณ์ แต่ในบทความที่นำมาให้ดูนี้ มาดูวัตถุดิบที่นำมาทำเป็นอาหารที่ถ้าใจไม่กล้าคงทานไม่ได้แน่ บางอย่างที่เราคิดว่าไม่ควรนำมาทำเป็นอาหารได้นั้น แต่ก็มีผู้คิดค้นขึ้นมาจนได้ มาดูกันว่าอาหารสุดโหดนั้นทำมาจากอะไรกันบ้าง

10 อันดับ สุดยอดอาหารสุดโหด
อันดับที่ 10 หนู

     เป็นอาหารสุดฮิตของอเมริกาใต้ โดยเฉพาะประเทศยากจนอย่าง เปรู ปารากวัย หนูคือแหล่งโปรตีนสำคัญที่เดียว และเป็นเมนูหลักๆ ของร้านอาหาร และภัตตาคารใหญ่ๆ โดยชาวปารากวัยต่างลิ้มลองเชื่อว่าการกินหนูจะช่วยให ้ผิวกระชับมากขึ้น ผิวเนียนอีกต่างหาก ซึ่งหนูตัวใหญ่เขาจะมาย่างเป็นหนังกรอบหอมเสริฟแบบแฮ มเบอร์เกอร์เลยที่เดียว ส่วนหนูทารกตัวสีชมพูแดงๆ ก็จะหย่อนหนูเป็นๆ ลงท้องทันทีตามด้วยนมสดสักแก้ว หรือไม่ก็จะอร่อยแบบศิวิไลหน่อยก็จับลูกหนูใส่ในขนมปังหรือกล้วยหอมแล้วยัด ใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ ร้องจิ๊ดๆ




10 อันดับ สุดยอดอาหารสุดโหด
อันดับ ที่ 9 สตู ค้างคาว

     อาหารขึ้นชื่อของเวียดนาม ประเทศที่กำลังเจริญกว่าไทยน่ะแหละ ขายดิบขายดี แถมยังหรูและหายากมาก โดยเฉพาะเมืองหลวงไซ่งอนน่ะมันอยู่ในระดับภัตตาคารหรูเท่านั้น ซึ่งชาวเวียดนามเชื่อกันว่าเนื้อค้างคาวคือราชันย์แห่งเนื้อทั้งปวงการกิน น่ะหรือ ทำได้หลายวิธี เช่นทำซุป หรือนำมาสับเป็นชิ้นๆ เคี้ยวเป็นสตู หรือไม่ก็ใช้มีดคมๆ ตัดหัวค้าวคาวทันที จากนั้นก็รีดเลือดที่หยดจากร่างไร้หัวใส่แก้วเปล่าแล ้วดื่มกินสดๆ ทันที




10 อันดับ สุดยอดอาหารสุดโหด
อันดับ ที่ 8 สตู เนื้อหมาดำ

     พูดถึงเอเชียก็ต้องเนื้อหมา กินกันทั้งเกาหลี เวียดนาม ไทย แต่ถ้าจะหาประเทศที่กินเนื้อหมาได้มีลีลาเด็ดอร่อยก็ ประเทศอินโดนีเซียเพื่อนบ้านของเรานั้นเองเพราะพี่เพ ื่อนบ้านแกทำหลายเมนูมาก โดยเฉพาะเนื้อหมาดำว่ากันว่ามีรสอร่อยกว่าเนื้ออื่นๆ ทั้งปวง แถมนุ่มกว่าเนื้อหมาสีอื่นๆ ทำให้เวลานี้หมาดำชักจะหายจากถนนและบ้านเรือนของอินโดนีเซียไปแล้ว




10 อันดับ สุดยอดอาหารสุดโหด
อันดับ ที่ 7 หัวแกะสด-ต้ม

     จากหลายประเทศ รอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเมนูที่คุ้นเคยอย่างยิ่งของชาวเมืองแถบนั้นว่ากั นว่าหัวแกะถือว่าเป็นอาหารสุดยอดของแกะ เมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ของชาวยิวที่เรียกว่า รอช อาแชน่า หัวแกะถูกนำมาเสิร์ฟพร้อมกับความหมายที่ว่า ใครก็ตามได้กินหัวแกะนั้นจะได้รับโชคดีในวันปีใหม่ที่จะมาถึง แต่ถ้ากินลูกนัยตาของลูกแกะเข้าไปย่อมโชคดีมากขึ้นไปอีก ส่วนรสชาติหลายๆ คนให้ความเห็นว่า "เค็มเหลือเกินพับผ่า"




10 อันดับ สุดยอดอาหารสุดโหด
อันดับ ที่ 6 ขนมพายครีบแมวน้ำ

     ชาวนิวฟาวด์แลนด์กินพายที่มาจาก ครีบแมวน้ำนั้นถือว่า เป็นสิ่งวิเศษ และต้องกินก็ได้ถ้ามีโอกาส และด้วยเหตุนี้ส่งผลให้แต่ละปีจะมีแมวน้ำมากมายมหาศาลต่างถูกจับตัวขึ้นมา ตัดครีบทั้งสองข้าง จากนั้นก็ถีบลงเรือและปล่อยให้จมน้ำตายในทะเลไปอย่าง น่าสมเพชที่สุด ในภัตตาคารใหญ่ๆ หลายต่อหลายแห่งก็มีเมนูชนิดนี้เปิดขายทั้งแบบปกปิดแ ละเปิดเผย เพราะนานาประเทศยังต่อต้านเมนูนี้อยู่




10 อันดับ สุดยอดอาหารสุดโหด
อันดับ ที่ 5 สมองลิงแสนสนุก

     วิธีการทำและการกินก็ง่าย ก็เอาลิงพันธุ์อะไรก็ได้แล้วแต่มีให้ มาหนีบกับโต๊ะโดยมีส่วนหัวด้านบนโผล่ออกมา จากนั้นพ่อครัวก็ใช้วิชาบาร์เบอร์โกนขนส่วนบนของลิงอ อกจนเกลี้ยงเกลาจากนั้นก็ใช้สิ่วและค้อนเฉาะกะโหลกขอ งลิงออกคล้ายกับกะเทาะมะพร้าวอ่อนและแล้วลูกค้าก็จะรีบตักกินสมองลิงอย่าง รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้นานเกินไปสมองลิงจะยุบและลดปริมาณอย่างรวดเร็ว แต่บางครั้งเขาก็เสิร์ฟสมองลิงแบบแช่แข็งไว้ด้วย เพื่อลดภาระสมองลิงหดตัวอย่างรวดเร็วอีกทางหนึ่ง




 10 อันดับ สุดยอดอาหารสุดโหด
อันดับ ที่ 4 ปลาสองแผ่นดิน

     เมนูนี้สามารถหากินได้จากประเทศ จีนหรือไทยก็ได้ครับ วิธีการทำต้องใช้ฝีมือหน่อย เริ่มจากนำมาเก๋าขนาด 2 ก.ก. มาขอดเกล็ดออกให้หมดแล้วนำมาล้าง ก่อนจะใช้ผ้าเย็นที่แช่เย็นจัดพันส่วนหัวจนถึงพุงปลา แล้วก็ใช้มีดบั้งตัวปลาตั้งแต่ส่วนหางขึ้นมาจนถึงกลา งลำตัว ระหว่างนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชลงไปรอให้เดือดเต็ม ที่ แล้วก็นำหางปลาช่วงที่บั้งจุ่มลงไปทอดครึ่งตัว ซึ่งเป็นภาพที่หวาดเสียวมาก เพราะปลาจะดิ้นตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวด ต้องใช้คีมคีบที่หัวปลาเอาไว้ รอจนเนื้อปลาสุกเป็นสีเหลือง ก็ยกขึ้นนำมาวางบนจานแต่งด้วยเครื่อง ยกเสิร์ฟโดยครึ่งบนปลายังเป็นๆ อยู่ อ้าปากพะงาบๆ ครีบยังกระดิกได้ แต่ครึ่งล่างทอดจนสุก กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดและซอสเปรี้ยว โดยคนจีนเชื่อว่าการทานปลาสองแผ่นดินเป็นยาชูกำลังให้กินมากๆ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงน่ะจะบอกให้ เชื่อไหม




10 อันดับ สุดยอดอาหารสุดโหด
อันดับ ที่ 3 อุ้งตีนหมี

     เป็นอาหารที่นักเปิบมหาภัยชอบ มากและเป็นเมนูสุดโหด เพราะการตัดอุ้งตีนหมีนั้น ไม่สามารถตัดขณะที่หมียังมีชีวิตได้ การฆ่าหมีเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหนังหมีจะหนามาก ยากต่อการฆ่า ดังนั้น ผู้ฆ่าจึงจับหมีถ่วงน้ำทั้งเป็นหมีความส่งเสียงร้องดังโหยหวนเมื่อถูกตะขอ เหล็ก เกี่ยวร่างออกจากกรงขัง ไม่กี่นาทีต่อมามันก็ตกอยู่ในความมืดมิด เมื่อถูกกระสอบสวมคลุมร่าง นักท่องเที่ยวจะยืนมองวินาทีสุดท้ายของหมีควายโชคร้ายในถังเก็บน้ำใบเขื่อง ด้วยสายตาเฉยชา หลังจากร่างใหญ่ดิ้นพราดๆ อยู่เพียงครู่ ทุกอย่างก็สงบลง เพชฌฆาตรีบลงมีดเลือดสดๆ ไหลทะลักจากคอหมีลงสู่ถ้วยขนาดย่อม เลือดในถ้วยถูกผสมด้วยเหล้าขาวแล้วเวียนกันดื่ม หลังจากยืนดู การชำแหละอุ้งตีนหมีเสร็จสิ้น นักท่องเที่ยวจึงกลับไปที่โต๊ะ นั่งรออาหารจานเด็ดที่เชื่อว่าจะช่วยทำให้คนแข็งแกร่ งในกามกรีฑา ดุจเดียวกับความแข็งแรงของอุ้งตีนหมี




10 อันดับ สุดยอดอาหารสุดโหด
อันดับ ที่ 2 ซุปตัวอ่อนมนุษย์

     เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงน่ะครับ เมนูนี้เป็นอาหารเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้นน่ะครับ มันมีขายอยู่ที่เฉินเซ่น ประเทศจีนการกินตัวอ่อนของมนุษย์ หรือทารกที่เพิ่งคลอดนั้นเป็นความเชื่ออย่างลับๆ ว่า จะช่วยเพิ่มคุณค่าอาหารหลายอย่างในหมู่ชาวจีน นั้นก็คือทำให้ผิวสวยเนียน ร่างกายแข็งแรงต้านทานโรค และที่เชื่อกันมากก็คือช่วยบำรุงไตได้ดีสำหรับวิธีการทำก็ไม่ยากเท่าไหร่ แค่เอาเด็กทารกแรกคลอด หรือเด็กที่ตายจากการทำคลอด ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายยิ่งดี(เขาบอกว่ามีคุณค่าทางอาหาร สูง) มาสับ มาเคี่ยวเป็นซุปและใส่เนื้อหมูลงไปเป็นอันเสร็จ……….. รสชาติเหมือนซุปสมุนไพรอย่างไรก็ตามการนำเด็กทารกมาทำตุ๋นยาจีนเป็นอาหารที่ ประเทศจีนนั้น ถือว่าผิดกฎหมาย ทำให้เมนูนี้ ต้องมีการสั่งเป็นพิเศษ หรือไม่ก็แอบทำให้กับพวกที่อยากรับประทานอาหารแบบพิสดาร แบบนี้




10 อันดับ สุดยอดอาหารสุดโหด
อันดับ ที่ 1 เนื้อมนุษย์ ที่ปาปัว นิว กินี

     อันดับหนึ่งของเรา ที่ปาปัว นิว กินี เวลามีใครตายขึ้นไม่ว่าจะเป็นญาติของตน หรือคนต่างเผ่าที่ตกอยู่ในครอบครองของตน เขาจะไม่นำศพไปฝังหรือเผา แต่จะนำศพไปไว้บนตะแกรงที่ยกพื้นสูงขนาดท่วมหัว ปล่อยให้ศพอยู่ในสภาพนั้นจนขึ้นอืด เกิดน้ำเหลืองเยิ้มไปทั้งตัวดีแล้ว ก็จะเข้าป่าหาใบไม้ที่เป็นเครื่องเทศเอามาพับเป็นกระทงเล็กๆ (คงอย่างที่เตรียมใบชะพลูจะกินกับเมี่ยง) เหมาะที่จะมีขนาดกินคำเดียว แล้วก็เชิญพรรคพวกเพื่อนฝูงให้มารวมกันอยู่ใต้ตะแกรง ศพนั้น นำเอาไม้ปลายแหลมแทงศพให้เป็นรู ให้น้ำเหลืองไหลย้อยออกมา นำกระทงใบไม้ที่เตรียมไว้ รองรับน้ำเหลืองนั้น พอได้มากดีแล้วก็กินทั้งน้ำเหลืองและใบไม้กินกันจนไม่มีน้ำเหลืองแล้วก็นำศพ นี้ไปต้มซุปกับผักต่างๆ กินกันต่อไปแต่ถ้าจะกินมนุษย์ที่สะใจที่สุดต้องยกให้ชนเผ่า โดโบดูรัส นิยมจับเหยื่อที่ล่ามาได ้มากินแบบเป็นๆ นั้นคือต้องทรมานเหยื่อจนใกล้จะตายแต่ไม่ให้ถึงตาย จากนั้นก็เจาะกะโหลกให้เป็นรูลึกๆ เสียก่อน แล้วค่อยสอดไม้เล็กๆ ที่มีปลายแบบชอนเข้าไปตักสมองออกมากิน เหยื่อก็ดิ้นไปดิ้นมา ดูแล้วก็ ... เฮือก.. !? ตรูว่า ชุมนุมสางเขียวนี่มานโหดมากแล้วนะ มาเจอไอ้พวกนี้ เป็นคนดีไปทีเดียว

5 อันดับสถานที่เปลือยของโลก

5 อันดับสถานที่เปลือยของโลก

เว็บไซต์ของ 'Lonely Planet' ได้จัดอันดับสุดยอดสถานที่จากทั่วโลกที่จะทำให้คุณเปลือยได้อย่างไม่อายใคร การเปลื้องผ้าเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนคงไม่ใช่เรื่องน่าอายอีกต่อไป เมื่อเว็บไซต์ 'Lonely Planet' ได้จัดอันดับ 5 สถานที่ ที่นักท่องเที่ยวสามารถเปลือยกายได้อย่างไม่ต้องอายใคร


image


1. บ่อน้ำร้อนออนเซน ประเทศญี่ปุ่นบ่อน้ำร้อนของที่นี่ส่วนใหญ่เป็นน้ำแร่ธรรมชาติ นักท่องเที่ยวต้องเปลือยกายเพื่อแช่น้ำร้อน โดยบางแห่งจะเข้มงวดขนาดที่ห้ามผู้ที่มีรอยสักเข้าแช่น้ำเด็ดขาด


image


2. งานเทศกาลภาพถ่ายคนเปลือยของสเปนเซอร์ ทูนิคส์ ช่างภาพชื่อดังชาวอเมริกัน ที่แต่ละปีมักจะมีการจัดงานชุมนุมคนเปลือยตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก โดยในปี 2003 มีผู้ร่วมเปลือยเพื่อถ่ายภาพทั้งหมดถึง 7,000 คนที่เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน


image


3. คลับ 300 ที่แอนตาร์กติกา แม้อุณหภูมิภายนอกอาจติดลบ 70 องศา แต่เมื่อนักท่องเที่ยวมายังสถานที่อบเซาว์หน้าแห่งนี้ อาจจะต้องเปลือยกายท่ามกลางความร้อนเกือบ 100 องศาเซลเซียส โดยด้านหน้าคลับ 300 นั้นมีหมุดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของขั้วโลกปักอยู่ นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวแอนตาร์กติกา หากไม่มายังจุดนี้ก็เหมือนมาไม่ถึง


image


4. สระว่ายน้ำ 40 ฟุต ริมชายหาดเมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ สระน้ำแห่งนี้ก็คือทะเลนั่นเอง โดยนักท่องเที่ยวสามารถถอดเสื้อผ้าไว้ที่ห้องแต่งตัวและเดินลงบันไดไปหน้าหาดได้ทันที แต่มีกฎอยู่ข้อหนึ่งที่ทุกคนต้องปฏิบัติร่วมกันคือ หลัง 9 โมงเช้า นักท่องเที่ยวทุกคนต้องสวมชุดว่ายน้ำ เพราะเป็นเวลาที่คนเริ่มพลุกพล่าน


image


5. บ้านอบเซาว์น่าของประเทศฟินแลนด์ ที่นี่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ที่มักจะตั้งอยู่กลางหุบเขาที่หนาวเหน็บ อุณหภูมิในเซาว์น่าบางแห่งอาจสูงถึง 100 องศาเซลเซียส ปัจจุบันมีที่อบเซาว์น่าในฟินแลนด์มากกว่า 2 ล้านแห่งทั่วประเทศ


หากใครที่สนใจก็สามารถเข้าไปชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.lonelyplanet.com แล้ว SEARCH คำว่า Best places to get naked

10 อันดับ อาหารไทยที่ชาวต่างชาติชื่นชอบ

10 อันดับ อาหารไทยที่ชาวต่างชาติชื่นชอบ
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าอาหารไทยคือแรงกระตุ้นสำคัญให้ชาวต่างชาติอยากมาเที่ยวเมืองไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก เนื่องจากรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และความอร่อยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก เว็บไซต์ top-10-list.org จึงทำการจัดอันดับ 10 สุดยอดอาหารไทยที่ชาวต่างชาติคลั่งไคล้เป็นพิเศษ

.

*หมายเหตุ ข้อมูลอ้างอิงจากการสำรวจของ Visa ว่าอาหารไทยคือปัจจัยสำคัญในการดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ http://travel.mthai.com/travel-news/41206.html


อันดับที่ 10
Por Pia Tord or Fried Spring Roll

image
หรือ ปอเปี๊ยะทอดสุดอร่อยนั่นเอง

อันดับที่ 9
Gai Pad Met Mamuang or Cashew Nuts In Stir-Fried Chicken

image
หรือ ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ อาหารระดับตำนานอีกจานของเมืองไทย
 
อันดับที่ 8
Som Tam or Spicy Papaya Salad

image
หรือ ส้มตำ อาหารอีสานคลาสสิกที่ไม่มีใครไม่รู้จัก

อันดับที่ 7
Moo Sa-Te or Grilled Pork Sticks with Turmeric

image
หรือ หมูสะเต๊ะ อันหอมหวานพอดีลิ้น
 
อันดับที่ 6
Panaeng or Meat in Spicy Coconut Cream

image
หรือ พะแนง หวาน ๆ มัน ๆ เผ็ดเล็กน้อย พอปะแล่มลิ้น

อันดับที่ 5
Tom Yam Gai or Chicken Soup (Spicy)

image
หรือ ต้มยำไก่ อาหารจานเด็ดอีกรายการที่ถูกลิ้นถูกใจคนค่อนโลก
 
อันดับที่ 4
Tom Yam Goong or Spicy Shrimp Soup

image
หรือ ต้มยำกุ้ง สุดยอดอาหารไทยที่รู้จักทั่วโลก ดังขนาดต้องเอาไปตั้งชื่อหนังขายฝรั่ง

อันดับที่ 3
Tom Kha Kai Or Chicken In Coconut Milk Soup
image

หรือ ต้มข่าไก่ รสชาติและกลิ่นอันหอมหวลที่ใครก็ยากจะปฏิเสธ

อันดับที่ 2
Kang Keaw Wan Kai or Chicken Curry (Green)
image

หรือ แกงเขียวหวานไก่ อาหารจานเด็ดที่ประยุกต์ให้รับประทานได้กับหลากหลายเมนู
 
อันดับที่ 1Pad Thai
image

หรือ ผัดไทย ของโปรดของใครหลายคนที่ถือเป็นอาหารประจำชาติกันเลยทีเดียว (แค่ชื่อก็บ่งบอกแล้ว)

มีอาหารจานโปรดของใครบ้างหรือเปล่า เห็นกันหรือยังครับว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดเป็นคนไทย มีอาหารอร่อยและราคาถูกให้กินกันตลอดทั้งปีทั้งชาติ

อาหาร 10 ชนิดพิชิตโรค

ช่วยเสริมสร้างระบบ

       อาหาร คือ ยาวิเศษ สุด การรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์จะช่วยเสริมสร้างระบบ ภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ ขจัดสิว ช่วยให้จิตใจเบิกบาน จะแนะนำอาหาร 10 ชนิดที่รับประทานเป็นประจำทุกวันท่านจะห่างไกลโรคหัวใจ โรคมะเร็ง อย่างแน่นอน



  1.        ซอสมะเขือเทศ อาหารของชาวอิตาเลียนจะมีซอสมะเขือเทศเป็นเครื่องปรุงหลักและพบว่าชาวอิตาเลียนเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าชาติอื่นหลายเท่า เพราะในซอสมะเขือเทศ อุดมไปด้วยสารไลโคปิน ซึ่งมีอยู่ในมะเขือเทศและเมื่อผ่านกระบวนการทำเป็นซอสจะเพิ่มปริมาณขึ้นอีก 5 เท่า และสารไลโคปินนี้มีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจและชะลอการเสื่อมของเซลล์ ดังนั้นถ้าคุณรับประทานซอสมะเขือเทศ 2 ถ้วยต่อสัปดาห์ โรคหัวใจก็จะห่างไกลคุณแถมด้วยผิวพรรณสดใสอ่อนเยาว์อีกด้วย

           กระเทียมสด ในกระเทียมสดประกอบด้วยสารทรงคุณค่า 2 ชนิดคือ อัลลิซินและไดอะลิศ ซึ่งทำหน้าที่ลดคลอเลสเตอรอลซึ่งเป็นสาเหุตุของโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดี รับประทานกระเทียมวันละ 2 กลีบเป็นประจำ

           มันเทศ อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซีและอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้อีกด้วย ดังนั้นควรเพิ่มเมนูมันเทศเข้าเป็นอาหารประจำบ้านคุณเพื่อสุขภาพที่ดี

           หอมหัวใหญ่ มีสารเคอร์เซทีน จึงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย ป้องกันโรคภูมิแพ้ แก้อาการหอบหืดและอาการแพ้ต่างๆ ได้ดี ฉะนั้นอย่างลืมใช้หอมหัวใหญ่ปรุงเมนูเด็ดของคุณ

           จมูกข้าวสาลี มีธาตุสังกะสีมาก จึงช่วยขจัดสิวอันเป็นปัญหาของผิวพรรณได้ดี ถ้าเติมจมูกข้าวสาลีในโยเกิร์ตหรือธัญพืชกรอบ มื้อเช้าของคุณเป็นประจำ ผิวหน้าของคุณจะผ่องใสไร้สิวแน่นอน

           ถั่วดำ มีสารต้านโรคโลหิตจาง และมีวิตามินบีและโปรตีนอีกหลายชนิด

           บรอกโคลี ในดอกตูมของบรอกโคลีมีสารป้องกันมะเร็งมากกว่าต้นแก่ 30-50 เท่า

           สตรอเบอรี่ เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดในการกำจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิด มะเร็ง ร้าย และให้พลังงานต่ำ มีวิตามินซีสูง

           โยเกิร์ต เชื่อหรือไม่ว่าการที่ผู้หญิงรับประทานโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วย ช่วยลดการติดเชื้อในช่องคลอดได้ถึง 50% เพราะจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสในโยเกิร์ตจะกระตุ้นร่างกายสร้างสารต้านการติดเชื้อ ทั้งช่วยลดอาการอ่อนเพลียและทำให้สดชื่นแจ่มใส ต่อไปเห็นทีจะต้องรับประทาน โยเกิร์ต ทุกวันซะแล้ว

           ถั่วเหลือง ช่วยต้านการเกิดมะเร็งเต้านม ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งมดลูก สาวๆ ที่อยากห่างไกลโรคนี้อย่าลืมรับประทาน น้ำเต้าหู้ แกงจืดเต้าหู้ หรืออาหารอื่นๆ ที่มีเต้าหู้เป็นส่วนประกอบเป็นประ

ปีใหม่นี้น้ำหนัก(เพิ่ม)เท่าไหร่ที่คุณต้องการ?

ช่วงเทศกาล ช่วงเวลาแห่งการ “กิน”

 

          งานเลี้ยงฉลองในเทศกาลแห่งความสุข ที่เริ่มตั้งแต่เดือนนี้ยาวไปจนถึงมกราคมศกหน้า ล้วนแต่จะทำให้คุณมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างง่ายดาย การมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่า 2 กิโลกรัม (ประมาณ 5 ปอนด์) คุณต้องมีแคลอรี่เพิ่มขึ้นอีก 17,500 แคลอรี่ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันนับตั้งแต่ตอนนี้จนถึงช่วงเทศกาลฉลองปีใหม่ในเดือนมกราคม แล้วน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้มาได้อย่างไร เรามาดูกันค่ะ

          ...ช่วงเทศกาล...ช่วงเวลาแห่งการเพิ่มน้ำหนัก!

          หากเราย้อนเวลากลับไปในช่วงวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับเทศกาลฮัลโลวีนที่นิยมมอบลูกกวาดให้แก่กัน คุณรู้ไหมว่า ในโถ 1 ใบที่บรรจุลูกกวาดราว 250 เม็ดนั้น เมื่อคุณลิ้มลองลูกกวาดแต่ละเม็ดจะให้แคลอรี่ประมาณ 35 แคลอรี่และหากคุณมีอุปนิสัยเหมือนกับคนส่วนใหญ่ ที่ซื้อลูกกวาดมาเป็นจำนวนมากเกินความจำเป็นในการใช้งาน คุณก็มีภาระต้องรับประทานลูกกวาดให้หมดไป โดยอาจบริโภควันละ 2 เม็ดเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ซึ่งทำให้ร่างกายของคุณสะสมแคลอรี่สูงถึง 1,000 แคลอรี่ทีเดียว

          ถัดจากเทศกาลฮัลโลวีน คือ เทศกาลขอบคุณพระเจ้า ซึ่งมีการจัดเลี้ยงอาหารค่ำหรือ “Thanksgiving Dinner” ในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) ซึ่งเป็นวันหยุดและเราใช้เวลาในวันนั้นกับการรับประทานอาหารกับคนใกล้ชิด แม้ว่าหลายคนจะจัดเลี้ยงอาหารในช่วงกลางวัน แต่ก็ต้องร่วมงานเลี้ยงอาหารอีกครั้งในยามเย็น ซึ่งทำให้ร่างกายของเราได้รับแคลอรี่สูงถึง 5,000 แคลอรี่ หรือมากกว่านั้น ซึ่งสูงกว่าปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายของคนเราต้องการโดยเฉลี่ยถึงเท่าตัว หรือ 2,500 แคลอรี่

          ...บ้านและที่ทำงาน...สถานที่อันตรายสำหรับเพิ่มน้ำหนัก

          บางครั้งในที่ทำงานของคุณก็ทำให้คุณไม่สามารถควบคุมการบริโภคได้ในช่วงเทศกาลแห่งความสุข เพราะลูกค้าหรือซัพพลายเออร์ก็จะนำขนมนมเนยนานาชนิด อาทิ คุกกี้ ลูกกวาด และข้าวโพดคั่วเคลือบคาราเมลมามอบให้ถึงที่ทำงาน

          การบริโภคข้าวโพดคั่วเคลือบคาราเมลในปริมาณ 2 กำมือ 3 ครั้งต่อสัปดาห์นานติดต่อกันถึง 1 เดือนจะทำให้ร่างกายของเราได้รับแคลอรี่สูงถึง 2,200 แคลอรี่ ขณะที่การรับประทานช็อกโกแลตเฉลี่ยแค่สัปดาห์ละ 3 ชิ้นนาน 1 เดือนจะก่อให้เกิดแคลอรี่ในปริมาณ 1,600 แคลอรี่ และนั่นเป็นสาเหตุที่จะทำให้คุณมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5 กิโลกรัม ภายในเดือนมกราคมที่จะมาถึงนี้

          นอกจากการบริโภคในสถานที่ทำงานแล้ว คุณยังมีแนวโน้มบริโภคขนมหวานที่บ้านอีกด้วย เมื่อตะกร้าของขวัญเริ่มต้นมาถึงบ้านคุณ การบริโภคมินิมัฟฟินจำนวน 10 ชิ้นใน 2 - 3 วัน จะเพิ่มแคลอรี่ให้ถึง 1,000 แคลอรี่ หรือการรับประทานขนมปังชีสหรือซาลามีแครกเกอร์ ทำให้ได้รับแคลอรี่กว่า 700 แคลอรี่

          คุณยังจะประสบปัญหาเรื่องการเพิ่มของน้ำหนักตัวได้เช่นกัน ถ้าบริโภคคุกกี้จำนวน 2 แถวหรือแค่ 6 ชิ้น หรือแม้จะเลี่ยงไปรับประทานขนมปังจิงเจอร์เบรด ก็จะเพิ่มแคลอรี่ให้คุณได้อีกประมาณ 500 แคลอรี่

 

          ...ปาร์ตี้สนุกสุดเหวี่ยง...น้ำหนักเพิ่มได้ไง!

          เราลองมาดูอาหารและเครื่องดื่มในงานเลี้ยงคอกเทลปาร์ตี้กันบ้าง เพียงคุณไปร่วมสนุกใน 1 งานจะพบว่า อาหารประเภทออเดิร์ฟให้แคลอรี่ชนิดละ 100 แคลอรี่ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์บางชนิดอย่างมาร์ตินี่หวานก็สร้างแคลอรี่สูงถึง 300 แคลอรี่ หากรวมบรรดาอาหารและเครื่องดื่มของงานปาร์ตี้ทั้ง 2 งานเข้าด้วยกันจะพบว่า คุณจะได้รับแคลอรี่ถึง 2,000 แคลอรี่ ซึ่งเท่ากับ 2 ใน 3 ของน้ำหนัก 1 ปอนด์ หรือราวครึ่งกิโลกรัมเลยทีเดียว ลองคำนวณดูว่า คุณจะได้รับแคลอรี่ในปริมาณเท่าไรจากการบริโภคแพนเค้กมันฝรั่ง 2 ชิ้น และเนื้อสันอกในงานปาร์ตี้ (ประมาณ 1,000 แคลอรี่) และนั่นเองที่เป็นสาเหตุทำให้คุณมีน้ำหนักเพิ่มอีกเกือบครึ่งกิโลกรัม

          ...เพิ่มแคลอรี่...ทำได้ไม่ยากสักนิด!

          ดังนั้น การเพิ่มแคลอรี่ให้แก่ร่างกายอีกสัก 5,000 แคลอรี่ หรือมากกว่านั้น ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เมื่อคุณมีขนมพายชิ้นละ 500 แคลอรี่วางอยู่ตรงหน้า หรือคุณบริโภคซี่โครงหมูที่ให้ 800 แคลอรี่ต่อน้ำหนัก 8 ออนซ์ และเครื่องจิ้มทำจากผักและครีมในปริมาณครึ่งถ้วยซึ่งให้แคลอรี่ 600 แคลอรี่ หรือบริโภคชุดอาหารฉลองเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งได้แก่ แผ่นแป้งอบกรอบ (Quiche) 1 ชิ้น 500 แคลอรี่ ขนมปังซินามอนโรล 500 แคลอรี่ และเครื่องดื่ม eggnog อีก 1 แก้ว 400 แคลอรี่

          และหากคุณยังคงรับประทานอาหารตามที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยไม่มีการออกกำลังกาย เช่น เลิกการเดินวันละ 45 นาที ซึ่งจะทำให้สามารถลดได้ 175 แคลอรี่เป็นเวลา 1 เดือน คุณก็จะประสบความสำเร็จในการเพิ่มน้ำหนักภายในช่วงเทศกาลฉลองปีใหม่นี้อย่างแน่นอน มั่นใจได้!

อาหาร...ต้านภัยหนาว

เน้นการต้านโรคหวัด

          เข้าสู่ฤดูหนาวมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แม้อากาศจะเย็นลงบ้างในบางจังหวัด แต่สำหรับชาวกรุงถือว่าได้สัมผัสความเย็นแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง แต่หลายคนก็ยัง (แอบ) มีหวังกับความหนาวที่อาจจะมาเยือนได้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับอากาศที่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา...



          มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรแนะนำเมนูอาหารต้านภัยหนาว เน้นการต้านโรคหวัดที่เกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลงรวมทั้งอาหารที่ให้ความอบอุ่นที่จะช่วยปรับสมดุลให้กับร่างกาย

          เริ่มกันที่ "แกงบอน" หรือแกงนางหวาน ที่เป็นเมนูขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารลดน้ำหนัก แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นเมนูที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกายด้วยเช่นกัน

          บอนเป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมของชาวไทย ส่วนที่นิยมรับประทานก็คือ นำยอดอ่อน ก้านใบ และไหลอ่อนมากินเป็นผัก แต่ต้องมีความชำนาญในการปรุงอย่างถูกวิธีจึงจะกินได้โดยไม่คันและไม่มีผลข้างเคียง

          เคล็ดลับมีหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่การปอก ควรทามือด้วยปูนที่กินกับหมากให้ทั่วมือเสียก่อน ส่วนการนำมาปรุงเป็นอาหารต้องมีเครื่องปรุงที่มีรสเปรี้ยว เช่น น้ำมะขาม ยอดมะขาม ส้มป่อยหรือน้ำมะกรูด เพื่อดับพิษคันของบอน

          หมอยาพื้นบ้านมักจะบอกว่า กินแกงบอนจะช่วยรักษาริดสีดวงทวารทุกชนิด ช่วยในการระบายท้อง ช่วยปรับธาตุและบำรุงร่างกาย ส่วนการศึกษาสมัยใหม่พบว่า ในก้านบอนมีไนเอซินสูงมากถึง 13 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ที่ช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ช่วยควบคุมการทำงานของสมองและระบบประสาท รักษาสุขภาพของผิวหนัง ลิ้น และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลอีกด้วย

          "ต้มข่าไก่ใส่หัวสะเลเต" ข่าเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากในหน้าหนาว คือช่วยบำรุงธาตุไฟ ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน และยังช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและต้านมะเร็ง

          ต้มข่าไก่จึงเป็นตำรับอาหารไทยที่เลื่องชื่อ แต่ถ้าจะให้มีรสหอมชวนรับประทานยิ่งขึ้น ให้ซอยหัวสะเลเตหรือมหาหงษ์ใส่ลงไปจะช่วยเพิ่มรสชาติและมีสรรพคุณในการแก้ปวดหัวด้วย

          "ข้าวหมาก" คนโบราณบอกว่า ผู้หญิงควรกินข้าวหมาก เพราะข้าวหมากเป็นยาร้อนจะช่วยบำรุงเลือดลมสตรี ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ไม่เป็นสิว ฝ้า และยังพบว่าในข้าวหมากมีธาตุสังกะสีมากช่วยลดการเกิดและช่วยรักษาสิว

          ข้าวหมากมีจุลินทรีย์ที่เป็นโปรไบโอติกซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีแนวโน้มในการนำมาใช้เพื่อดูแลสุขภาพ มีการศึกษาพบว่าโปรไบโอติกกระตุ้นให้มีการสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันการเกิดมะเร็ง ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานปกติ ช่วยให้ดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น และเป็นยาบำรุงร่างกายให้แข็งแรงอีกด้วย

          "รำหมกกล้วย" รำข้าวมีส่วนประกอบสำคัญคือ จมูกข้าว ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นน้ำนมรำข้าวที่เป็นวิตามินที่ไม่ละลายน้ำ และยังอุดมไปด้วยวิตามินที่ละลายน้ำ รวมทั้งเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย

          โดยเฉพาะวิตามินที่ไม่ละลาย เช่น วิตามินอีธรรมชาติ แกมมาโอริซานอล ช่วยทำให้ผิวยืดหยุ่น เต่งตึง ลดจุดด่างดำ ลดริ้วรอยและยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย ลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ เป็นต้น สำหรับวิตามินที่ละลายน้ำได้ คือวิตามินบีรวม ช่วยในการทำงานของระบบประสาท เหน็บชา ฯลฯ

          ส่วนแร่ธาตุอื่น ๆ อาทิ แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี ช่วยเพิ่มพลังงาน เพิ่มการเผาผลาญ เสริมสร้างการเติบโตของสมอง ฯลฯ

          นอกจากนั้นในกล้วยน้ำว้าซึ่งเป็นผลไม้พื้นบ้านที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ที่สำคัญคือ มีกรดอะมิโน อาร์จินิน และฮีสติดิน ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตในเด็ก รวมทั้งวิตามินเอวิตามินบี อีกด้วย

กิน “ผักบุ้ง” บำรุงสายตา

อุดมวิตามินเอ-เบต้าแคโรทีนสูง

 

          หลายๆ คนคงเคยได้ยินกันมาบ้างว่ากิน ผักบุ้งแล้วทำให้ตาหวานตาสวยได้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย เพราะว่าผักบุ้งมีสารที่สามารถเปลี่ยนไปเป็นวิตามิน A ที่เรียกว่า เบต้า - แคโรทีนเยอะมาก แล้ววิตามิน A นี้เองเป็นสารที่ช่วยบำรุงสายตา ช่วยให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยงให้ตาเป็นประกาย ไม่แสบ ไม่แห้ง

          ยังมีสรรพคุณแก้ตาฟางหรือตาบอดกลางคืนได้ ช่วยให้หายแสบตาจากอาการตาแห้ง และลดอาการปวดกระบอกตาในกรณีที่ใช้สายตาเยอะๆ และอยากจะบอกอีกว่าผักบุ้งไมได้มีแต่วิตามิน A เท่านั้น ยังมีวิตามิน C ด้วย แต่ถ้าอยากได้วิตามิน C จากผักบุ้ง ก็ต้องกินผักบุ้งดิบ ทั้งวิตามิน A และวิตามิน C รวมถึงเบต้า - แคโรทีน เป็นวิตามินที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้ด้วย

          นอกจากนี้ในผักบุ้งยังมีเกลือแร่ มีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด อีกทั้งแคลเซียม และฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงกระดูก รวมถึงมีเส้นใยอาหารช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย และในผักบุ้งมีสารชนิดหนึ่งที่มีโครงสร้างคล้ายอินซูลินที่สามารถลดน้ำตาลในกระแสเลือดสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน และผักบุ้งเป็นผักที่มีฤทธิ์เย็นจึงช่วยบรรเทาอาการร้อนในได้ และประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของผักบุ้งที่ไม่ค่อยมีใครรู้ก็คือ ผักบุ้งเป็นหนึ่งในตำรายาไทย คือถือเป็นยาเย็นแก้ถอนพิษเมื่อเมาอีกด้วย

สุขภาพของเรา

อย่ารู้สึกแก่ อยู่อย่างมีำกำลังใจ


เมื่อร่างกายหลับ การหายใจของคนเราจะมีความสม่ำเสมอ เพราะกล้ามเนื้อทุกส่วนจะผ่อนคลาย รวมทั้งกล้ามเนื้อหายใจ เมื่อเกิดความผิดปกติของระบบการหายใจนี้จะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า การนอนกรน ประเภทการนอนกรน
1.ประเภทไม่เป็นอันตราย คือการนอนกรนธรรมดาที่ทำให้เกิดเสียงรบกวน จะไม่เกิดผลเสียต่อสุขภาพ แต่ก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้อยู่ใกล้ กลุ่มนี้มักมีการอุดกั้นทางเดินหายใจเพียงเล็กน้อย
2.ประเภทที่อันตราย คือการนอนกรนที่มีเสียงไม่สม่ำเสมอกันขณะที่หลับสนิท จะมีเสียงกรนดังสลับกับเบาเป็นช่วงๆ และจะมีช่วงหยุดกรนไประยะหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่หยุดหายใจ
การป้องกันและการรักษาการนอนกรนของผู้ป่วย
1. ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2. หลีกเลี่ยงการนอนหงาย ให้นอนในท่าตะแคงข้าง และให้ศีรษะสูงเล็กน้อย
3. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หรือยานนอนหลับและยากล่อมประสาทก่อนนอน
4. กรณีที่เป็นการนอนกรนชนิดอันตรายที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย ให้รักษาโดย
• ใช้เครื่องช่วยหายใจ CPAP ครอบจมูกขณะหลับ เพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น วิธีนี้ปลอดภัย และได้ผลดีในผู้ป่วยเกือบทุกราย
• Radiofrequency จี้กระตุ้นให้เพดานอ่อนหดตัวลง โคนลิ้นหดตัวลง
• การผ่าตัด เอาส่วนที่ยืดยานออก
อันตรายจากการนอนกรน
1. ร่างกายอ่อนเพลีย คล้ายนอนไม่พอ ทำให้เกิดผลเสียต่อการเรียนการทำงาน และอาจเกิดอุบัติเหตุ
2. ไม่มีสมาธิในการทำงาน ความสามรถในการจำลดลง หงุดหงิดอารมณ์เสียง่าย
3. มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมองโรคหัวใจขาดเลือด (อาจทำให้เสียชีวิตทันที เพราะหัวใจทำงานผิดปกติขณะเกิดการหยุดหายใจในช่วงหลับ หรือที่เรียกว่าไหลตาย
4. ขาดสมรรถภาพทางเพศ


ขณะนี้ประเทศของเรามีจำนวน ผู้สูงอายุ มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอายุขัยเฉลี่ยยืนยาวขึ้น ผู้คนเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อ โรคระบาดในช่วงเด็กและวัยคลางคนลดลง เมื่อมาถึงวัยสูงอายุ หลายๆท่านยังรู้สึกสนุกสนาน กระฉับกระเฉงและตั้งใจจะใช้ชีวิตในช่ีวงนี้อย่างมีความสุขและยาวนานที่สุด ถึงขนาดตั้งชมรมอยู่ร้อยปีก็มี แต่ยังมีผู้สูงอายุอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีความสุขและรู้สึกตลอดเวลาว่าชีวิตช่วงนี้ไม่ดีเลย ร่างกายก็ทรุดโทรม ฐานะเงินทองเปลี่ยนแปลงไป สิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคยทั้งญาติพี่น้อง มิตรสหายที่รู้จักมานานก็เริ่มหายหน้า เพราะได้ละสังขารไปตามๆกัน ลูกหลานที่เคยอยู่ใต้ใบบุญหรือต้องพึ่งพาก็เปลี่ยนสถานะไป เริ่มมีเงินทองและฐานะในสังคมสูงขึ้น ดีขึ้น ทำให้ผู้สูงอายุเหมือนด้อยความสำคัญลงไปทุกที ความรู้สึกต่าๆเหล่านี้ล้วนบั่นทอนความคิด กำลังใจของผู้สูงอายุไปทุกวัน

ทำอย่างไรจะอยู่อย่างมีความสุข?

ตั้งใจจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวอย่างมีความสุข ความตั้งใจเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมาก ่ควรจะกำหนดไปเลยว่าจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ (90ปี หรือ 100ปี) หรือจนหลานคนสุดท้ายได้บวชหรือเรียนจบ เป็นต้น

วางแผนชีวิตแต่ละด้านเป็นช่วงๆ ซึ่งควรจะมีแผนทั้งในเรื่องการเงิน การงาน ท ี่อยู่อาศัย และเป้าหมายแต่ละช่วง หลายท่านี่ทำงานในบริษัทหรือรับราชการมักจะมีเวลาปลดเกษียณที่ชัดเจน เช่น 60 หรือ 65 ปี และมักจะคิดว่าหมดเวลาทำงานแล้ว หรือยังไม่เคยคิดเลยว่าจะไปทำอะไรต่อ ซึ่งควรจะต้องคิดใหม่ให้ยาวออกไป เพราะในปัจจุบันผู้สูงอายุจำนวนมากมีสุขภาพกายและความสามารถรวมทั้งประสบการณ์สูงมาก สามารถสร้างงาน สร้างเงิน และมีความสุขกับผลสำเร็จในสิ่งที่ทำได้จนถึงอายุ 75 หรือ 80 ปี ได้เคยพบและสนทนากับผู้่สูงอายุหลายท่านที่ได้เริ่มทำสิ่งที่ชอบ หรือที่ฝันไว้หรืออยากทำตั้งแต่หนุ่มๆ แต่ไม่มีโอกาสเพราะการงานในอาชีพไม่เอื้ออำนวย และไม่เคยจัดสรรเวลาสำหรับความฝันนี้เลย พอจะเกษียณอายุ ลูกโตหมดแล้ว มีเวลาที่จะทุ่มเทให้และรอบรู้รวมทั้งรอบคอบ รอบด้านมากขึ้น ได้ทำสิ่งที่อยากทำจนบรรลุผลสำเร็จและได้ชื่นชม รวมทั้งมีความภาคภูมิใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นจากความสามารถของตนจริงๆ แต่การลงทุนและการทำกิจการต่างๆเหล่านี้ ควรจะค่อยทำเป็นขั้นตอนและทำในสิ่งที่เรามีความรู้ความเข้าใจ และค่อยๆศึกษาเพิ่มเติมขึ้นเอง ไม่แนะนำให้เอาเงินหรือทรัพย์สินจำนวนมากทุ่มเทลงไปในคราวเดียว โดยเฉพาะกรณีที่มีคนอื่นมาชักชวนให้ร่วมลงทุนด้วย โดยที่ตนเองไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งเหล่านั้นอย่าง จริงจัง เพราะผู้สูงอายุมักจะถูกหลอกลวง รวมทั้งไม่แนะนำให้เล่นหุ้นด้วย เพราะส่วนใหญ่มักจะพลาดพลั้งและขาดทุนมากกว่าจะได้กำไร และก่อให้เกิดความเครียดที่ตนเองควบคุมสถานการณ์ต่างๆไม่ได้ตามที่คิด ทำให้สภาพชีวิตแย่กว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้ในการทำกิจการใดๆ จะต้องดูแลใกล้ชิดถึงจะได้ผลดี เพราะมักมีการรั่วไหลเสมอ ถ้าหากขาดการติดตามดูแล นอกจากนี้จะต้องมีแผนถอยไว้ด้วย และเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับความไม่สำเร็จไว้ด้วยส่วนหนึ่ง เพราะทุกอย่างล้วนไม่แน่นอน ถ้าสำเร็จก็ดี แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ถือว่าได้เรียนรู้ชีวิตในอีกกแง่มุมหนึ่ง
โดยสรุปแล้วผู้สูงอายุจะทำกิจการใดๆ ต้อง
  • มีเป้าหมายเป็นขั้นตอน
  • ลงทุนแต่น้่อย เท่าที่คิดว่าจะพอเสี่ยงได้
  • พึ่งตนเองเป็นหลัก
  • ควบคุมดูแลใกล้ชิด
  • คิดเผื่อด้านไม่สำเร็จไว้ด้วย
มีงานอดิเรกที่ก่อให้เกิดความปิติแต่ไม่ผูกพันรักใคร่ นอกจากกิจการส่วนตัวแล้ว ควรจะมีงานอดิเรกอื่นที่ชื่นชูใจด้วย แต่ไม่แนะนำกาืรเลี้ยงสัตว์ที่ก่อให้เกิดความรักใคร่ผูกพัน ห่วงหาอาทร เพราะจะก่อให้เกิดทุกข์ ถ้าต้องการมีการพลัดพรากจากกัน
ทำความเข้าใจชีวิตให้ดีพอ รับรู้ และเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสังคมและแนวความคิดของคนรุ่นต่างๆ และมีเมตตาที่จะเข้าใจเขา ไม่กราดเกรี้ยว หงุดหงิด เมื่อคนอื่นๆคิดต่างออกไป เพราะความคิดของคนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามสภาพแวดล้อม รวมทั้งอิทธิพลจากคนรอบๆข้างและสื่อต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตประจำวันมากขึ้น อย่าเรียกร้องให้เด็กสมัยใหม่คิดหรือทำแบบเดียวกับที่เราเคยคิดเคยทำมาเมื่อก่อน เพราะรูปการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ถ้ายังคิดว่าต้องเหมือนเดิมจะก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างมาก และทำให้เกิดความทุกข์ตามมา

เตรียมที่จะอยู่อย่างไกลโรค และถึงแม้มีโรคอยู่ก็จะอยู่กับโรคอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ถ้ายังไม่มีโรคต้องศึกษาหาความรู้ว่า มีโรคภัยไข้เจ็บใดๆที่พบบ่อยหรือเป็นความผิดปกติที่พบในคนสูงอายุและปฏิบัติตนเพื่อให้ห่างไกลโรคเหล่านี้ โดยดูแลเรื่องอาหารตามความเหมาะสมกับวัยออกกำลังกายตามความเหมาะสมกับอายุและสภาพร่างกาย ช่วยเหลือตนเองตามความสามารถ โดยการทำชีวิตให้มีระเบียบ สม่ำเสมอ ช่วยทำให้สามารถปฏิบัติตามที่ตั้งใจไว้ได้ดีขึ้น
ในกรณีที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ อัมพาต อัมพฤษ์ ก็ไม่ต้องท้อถอย ในปัจจุบันแนวทางการปฏิบัติตน รวมทั้งยาและวิธีการต่างๆที่จะควบคุมโรคได้ง่ายขึ้น แต่ผุ้สูงอายุก็ต้องตั้งใจที่จะปรับตัวให้อยู่กับโรคเหล่านี้โดยตั้งใจว่าจะช่วยตนเองให้ได้มากที่สุด และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
แบ่งเวลาและทรัพย์สินสำหรับการท่องเที่ยวหาความรู้ ความสนุกสนานตามควรช่วงอายุ 60-75 ปี ยังเป็นช่วงที่แข็งแรงพอและมีสติพอที่จะเห็น ได้ชื่นชมกับความสวยงามและความมหัศจรรย์ในโลก ได้เห็นวิถีชีวิตที่แตกต่างจากที่เราคุ้นเคย เห็นความทุกข์ยาก ความสำเร็จของคนอื่นๆ ทำให้เป็นแรงกระตุ้นสำหรับตนเองและครอบครัว
สุดท้ายนี้สำคัญที่สุด คือการ มองโลกในแง่บวก ตลอดเวลา ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นอะไรก็ตาม ถ้าทำกิจการแล้วพลาดพลั้งก็คิดว่าโชคดีนะนี่ทำให้ได้ประสบการณ์มากขึ้น ทำให้ได้รู้จักคนมากขึ้น และได้ทดสอบสภาพจิตใจเราว่ายังแกร่งเพียงใด และเอาสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นบันไดที่จะทำให้เราก้าวไปเรื่อยๆ ถ้าได้เกิดพบโรค หรือความผิดปกติขึ้นมา ก็ต้องคิดว่าดีนะที่ทราบก่อนที่จะมีอาการมาก ทำให้เรารู้ัจักมีสติคิดวางแผนชีวิตได้ดีขึ้น เป็นต้น
อย่าลืมนะคะต้องมองไปข้างหน้าและจะรู้ว่ายังมีความสุข ความรื่นรมย์และความสำเร็จรออยู่ ถึงอายุมากแต่ใช่ว่าต้องตายพรุ่งนี้ ตราบที่ยังมีลมหายใจอยู่ชีวิตยังมีความหมาย ความหวัง และยังสามารถประสบความสำเร็จกับสิ่งใหม่ๆ หรือเรื่องต่างๆได้ เป็นต้น การิคดว่าตนเองนั้นแก่แล้ว ไร้ความสามารถเป็นความคิดที่บ่อนทำร้ายตนเอง ทำให้มีชีวิตอยุ่ด้วยใจที่ไม่เป็นสุขสงบ สุขภาพก็จะเสื่อมถอยลงเร็วยิ่งขึ้น คนเรานั้นควรระลึกไว้ว่า เราสามารถเลือกที่อยู่อย่างมีความสุขได้ ไม่ว่าจะอายุมากขนาดไหนค่ะ

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

1.ชิเชน อิตซา คาบสมุทรยูคาตาน เม็กซิโก
ชิเชน อิตซาเป็นภาษามายาแปลว่า ต้นทางแห่งความสุขสบายของประชาชน ชิเชน อิตซาเป็นวิหารที่โด่งดังที่สุดของชนเผ่ามายา ถือเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของอารยธรรมมายา การผสมผสานทางโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างหลากหลายชนิดของชิเชน อิตซา ทั้งพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคาน (เทพเจ้าสูงสุดของชาวมายาซึ่งเป็นผู้สร้างมนุษย์) วิหารชัค มุล (รูปปั้นซึ่งเป็นศิลปะแบบมายา) ห้องโถงที่เต็มไปด้วยเสาหลายพันต้นและลานกว้างที่ใช้เป็นที่ชุมนุมของประชาชนในอดีตนั้น แสดงให้เห็นถึงความพิเศษในเชิงสถาปัตยกรรมด้านการจัดวางองค์ประกอบของเนื้อที่และพื้นที่ใช้สอย โดยเฉพาะในส่วนของพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคานซึ่งถือเป็นพีระมิดแห่งสุดท้ายและเป็นพีระมิดที่กล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของอารยธรรมมายาด้วย
2.รูปปั้นพระเยซูคริสต์ นครริโอเดอจาเนโร บราซิล
รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ตั้งอยู่ที่ยอดเขากอร์โกวาโด มีความสูงราว 38 เมตร ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดาซิลวา คอสตา ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี้ ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ.2474 รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของนครริโอเดอจาเนโร และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบราซิล มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ราว 1,800,000 รายต่อปี
3.มาชู ปิกชู ประเทศเปรู
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิ ปาชาคูเทค ยูปันกี ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรอินคา ได้สร้างเมืองแห่งหนึ่งบนภูเขาซึ่งปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกชื่อว่า มาชู ปิกชู (มีความหมายว่าภูเขาโบราณ) ปัจจุบันอยู่ในประเทศเปรู ที่ตั้งของเมืองนี้ค่อนข้างกันดารยากที่จะเข้าถึง โดยตั้งอยู่บนที่ราบสูงแอนดิส ลึกเข้าไปในป่าอเมซอนและอยู่เหนือแม่น้ำอุรุบัมบา ซึ่งภายหลังชาวอินคาได้อพยพออกจากเมืองนี้เนื่องจากเกิดโรคระบาดขึ้น หลังจากอาณาจักรอินคาล่มสลายจากการพ่ายแพ้สงครามให้กับชาวสเปน เมืองแห่งนี้ก็ได้หายสาบสูญไปกว่า 3 ศตวรรษ จนกระทั่งได้รับการค้นพบใหม่โดยฮิราม บิงแฮม นักโบราณคดีชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2454
4.กำแพงเมืองจีน
กำแพงเมืองจีนตั้งอยู่บนพรมแดนทางตอนเหนือของประเทศจีน เริ่มต้นสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน (ราวปี พ.ศ.322-337 หรือ 221-206 ปีก่อนคริสตกาล) โดยมีจุดประสงค์ในการเชื่อมโยงป้อมปราการให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่ามองโกลในอดีต มีความยาวทั้งสิ้นกว่า 6,700 กิโลเมตร ถือเป็นสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่ยาวที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา ผู้คนจำนวนหลายพันคนต้องอุทิศชีวิตให้กับสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมานี้ นอกจากนี้ เคยมีผู้กล่าวไว้ว่ากำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างเพียงอย่างเดียวในโลกที่สามารถมองเห็นได้จากอวกาศ กำแพงเมืองจีนได้รับการคัดเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ.2529
 
5.เปตรา ประเทศจอร์แดน
เปตราเป็นภาษากรีก มีความหมายว่าหิน เมืองโบราณเปตราตั้งอยู่ในทะเลทราย เป็นเมืองหลวงของชนเผ่านาบาเชียนซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจอร์แดนในสมัยก่อน สร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์อาเรตัสที่ 4 (9 ปีก่อนคริสตกาล-ค.ศ.40) ชาวนาบาเชียนสร้างเมืองแห่งนี้โดยใช้วิธีการแกะสลักหินให้เป็นช่องอุโมงค์ โรงละครของเมืองแห่งนี้ซึ่งเป็นต้นแบบของโรงละครแบบกรีก-โรมันมีเนื้อที่สามารถจุผู้ชมได้ถึง 4,000 คน ส่วนหน้าของวิหารเอล เดียร์ ซึ่งสูง 42 เมตร ในเมืองแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีอีกแห่งหนึ่งของสถาปัตยกรรมแบบกรีกโบราณที่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้
6.ทัชมาฮาล เมืองอักรา ประเทศอินเดีย
ทัชมาฮาลสร้างขึ้นโดยกษัตริย์ชาห์ จาฮัน เพื่อใช้เป็นที่ฝังศพของพระนางมุมทัซ มาฮาล มเหสีที่พระองค์ทรงรักมากที่สุดซึ่งเสียชีวิตขณะมีอายุได้เพียง 39 ชันษาหลังจากที่ให้กำเนิดบุตรคนที่ 14 ทัชมาฮาลสร้างขึ้นระหว่างคริสต์ศักราช 1631-1648 สร้างโดยใช้หินอ่อนสีขาวทั้งหลัง รวมทั้งใช้วัสดุในการตกแต่งชั้นเลิศจากทั่วเอเชียซึ่งขนส่งโดยใช้ช้างกว่า 1,000 ตัว ทัชมาฮาลได้รับการยอมรับว่าเป็นศิลปะแบบมุสลิมที่สวยงามสมบูรณ์แบบมากที่สุดในอินเดีย นอกจากนี้ ทัชมาฮาลยังเป็นสถานที่ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดของอินเดีย มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมทัชมาฮาลราวปีละเกือบ 3 ล้านคน
7.สนามกีฬาโคลอสเซียม กรุงโรม ประเทศอิตาลี
สิ่งก่อสร้างรูปทรงโค้งเป็นวงกลม ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของกรุงโรมแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเหล่านักรบโรมันและเป็นอนุสรณ์ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน สนามกีฬาแห่งนี้สูง 48 เมตร ยาว 188 เมตร และกว้าง 156 เมตร แนวคิดในการออกแบบโคลอสเซียมนี้ยังคงมีความสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้ ดังจะเห็นได้จากการออกแบบสนามกีฬาแทบทุกแห่งในโลกนับตั้งแต่นั้นมาต้องปฏิบัติตามแม่แบบดั้งเดิมของโคลอสเซียมอย่างปฏิเสธไม่ได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้สิ่งที่ได้รับรู้จากภาพยนตร์และหนังสือบันทึกทางประวัติศาสตร์จะแสดงให้เห็นว่าสนามกีฬาแห่งนี้มีแต่การต่อสู้และการแข่งขันที่โหดร้ายต่างๆ นานา เพื่อความสุขของผู้ชมเท่านั้นก็ตาม

ดูแลความรัก หมั่นเติมความรักอยู่เสมอ

มั่นเติมความรักอยู่เสมอ
  • ดูแลความรัก หมั่นเติมความรักอยู่เสมอ อย่าลืมเลือกเวลาเหมาะ ๆ เพื่อใช้ในการพูดคุยกัน หมั่นแลกเปลี่ยนความคิดกันบ่อย ๆ
  • กล้าหาญกับความรู้สึก คุณควรจะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของคุณกับคนที่อยู่ข้างตัวบ้าง
  • คิดก่อนพูด เพราะคำพูดที่หลุดออกมาจากปากนั้น ไม่สามารถย้อนกลับคินได้
  • มีการให้เวลานอก เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มอึดอัด เบื่อหน่าย หรือเกิดการขัดแย้งที่ชักจะบานปลายเป็นเรื่อง หรือเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พร้อมที่จะตอบคำถาม ไม่มีการกดดันกันให้เวลาเพื่อพักโดยไม่ถามเหตุผล ให้โอกาสในการพูดเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของแต่ละคนตามความพร้อม
  • ฟังกันบ้าง ถ้ารู้จักฟังจะทำให้ความเข้าใจตรงกัน เมื่อไม่เข้าใจกันก็จะได้ถาม ได้อธิบาย ทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากขึ้น
  • เพิ่มรักให้เหนียวแน่น เช่น  เอ่ยชมกันและกันบ่อย ๆ การ เอ่ยชมคนรักบ่อย ๆ ไม่เพียงแต่จะทำให้เขารู้สึกดีเท่านั้น แต่จะมีผลในแง่ความรู้สึกของคนที่ชมด้วย
  • หัดใจเย็นมากขึ้น เมื่ออารมณ์ขุ่นมัว ตัดสินใจอะไรผิด ๆ ได้ง่าย การทำตัวเย็นจะทำให้ฝ่ายเกรงใจ
  • คอยตักเตือนในสิ่งที่เขาทำผิดพลาด เมื่อเห็นว่าเขาทำอะไรไม่ค่อยเข้าท่า ก็อย่าลืมคอยเตือนเขาไว้บ้าง เตือนด้วยความจริงใจ ไม่ใช่ไปตำหนิเขา
  • เมื่อทะเลาะกันไม่มีคำว่าฉันหรือเธอ แต่ความเป็นคำว่าเราทั้งคู่ จะทำให้รู้สึกว่าทั้งสองคนยังมีค่าพอสำหรับกันและกัน อย่างน้อยก็ยังไม่แบ่งแยกแบบตัวใครตัวมัน จะทำให้ดีกรีความรุนแรงเมื่อทะเลาะกันน้อยลง
  • ขอร้องเมื่อต้องการ…ไม่ใช่สั่ง หลายเรื่องที่บางครั้งเราไม่พอใจ และอยากให้เขาเปลี่ยนแปลงบางอย่างให้ถูกใจเรา ให้ขอร้องเราดี ๆ ด้วยเหตุผล อย่าสั่งเด็ดขาด
อย่าลืมนะคะ ความรักมีเพิ่ม มีลดได้เสมอ ^-^

กระต่ายน้อยรักกัน

กระต่ายน้อยน่ารัก

ทำความรู้จักกับเจ้ากระต่ายน้อย
ในปัจจุบัน กระต่าย เป็นสัตว์ที่นิยม เลี้ยงกันมาก ทั้งนี้ก็เพราะ ความน่ารัก และ ความสวยงาม ของเขา
และ เจ้ากระต่ายก็ ยังมีหลากหลายสี และ สายพันธุ์ ต่างๆมากมาย นอกจากนี้กระต่ายนั้นก็เป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย ซึ่งการดูแลและ อาหารที่ใช้ในการเลี้ยง หา ซื้อ ได้ง่าย

- กระต่ายเป็นสัตว์ที่รักสะอาด
กระต่ายเป็นสัตว์ที่รักความสะอาด ไม่แพ้กับเจ้าหนูแฮมสเตอร์เลย ทีเดียวครับ โดย ถ้าเพื่อนๆสังเกตดูดีๆก็จะเห็น
เขาทำความสะอาด ตัวเอง แบบเดียวกับ เจ้าแฮมสเตอร์ เลยครับ โดยเขาจะเลีย ขอของเขา เลียมือ และ เท้า หรือ เอาเท้าลูบที่หน้า หรือตัว เพื่อทำความสะอาดตัวของเขา

สักษณะทั่วๆไปของกระต่าย
- ดวงตา
กระต่ายมีดวงตาที่ โต ครับและก็ จะมีเปลือกตาบน และ เปลือกตาล่าง ที่เคลื่อนไหวได้ กับมีเปลือกตา อันที่ 3 สีค่อนข้างขาว
ซึ่งจะอยู่ที่มุม ทางด้านล่างของหัวตา ครับ
-มีใบหู ขนาดใหญ่
กระต่าย เป็นสัตว์ที่ขี้ตกใจง่าย ทั้งนี้ก็เพราะว่าเขามีใบหูขนาดใหญ่ โดยใบหูจะเป็นหนังบาง และ มีแขนงของเส้นเลือด
แผ่กระจายอยู่เป็นจำนวนมาก โดยที่โคนหูจะมีกระดูกอ่อน และกล้ามเนื้อ จงทำให้สามารถ กระดิก และ บิดโค้ง เพื่อที่จะรับฟังเสียงต่างๆได้


- ขากระต่าย จะมีขาหน้า ที่เล็กกว่าขาหลัง ทั้งนี้ก็เพราะว่า ขาหลังได้ถูกสร้างมา เื่พื่อการกระโดด กระต่ายสามารถกระโดดได้ไกล และ สูง ขาหน้าจะมีนิ้วเท้าอยู่ 5 นิ้ว และ
ในขาหลัง นั้นจะมีอยู่ 3นิ้ว ในแต่ละนิ้วก็จะมีเล็บ ส่วน นิ้วหัวแม่มือ จะเป็นนิ้วที่เล็กที่สุด ครับ ส่วนขาหลังนั้นจะ ไม่มีนิ้วหัวแม่มือครับ

กระต่ายนั้นเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย ถ้าได้รับการเลี้ยงดูที่ถูก วิธี และ รู้ว่าสิ่งใด ที่เป็นข้อห้ามต่างๆ สำหรับกระต่าย และเข้าใจ ในชีวิต การเป็นอยู่ในธรรมชาติของเขา
เท่านี้กระต่าย ก็จะอยู่ กับเราได้นานแล้วครับ




เพลงอยู่คนเดียว


 
เพลงอยู่คนเดียว
 
อยู่คนเดียวกับตอนเย็นเย็น
และก็ไม่เห็นว่าจะต้องมีใครใครมาเคียงข้าง
อยู่ลำพังกับความอ้างว้าง
นั่งมองดูแสงรำไรของดวงตะวันจนลับไป

เหม่อมองจันทร์ที่ลอยขึ้นมา
ดึกดื่นอย่างนี้แล้วเพื่อนที่มีที่ดีที่สุดคือหมอนข้าง
อยู่เหงาเหงาอย่างคนที่ปล่อยวาง
ก็อยู่อย่างนี้จนชิน
ไอ้คนไม่รู้ก็คอยจะถามทำไมไม่หาใคร
ซักคน เข้าใจ และรักจริง ก็ทุกคน ดูแสนดี
ดูจริงใจ
ก็ยินดีที่ได้เจอแต่ no no.. no no no no.. wo.. wo..

ก็เพราะเวลาฉันรักรักจริง
มันมาไม่นิ่งเอาตอนเธอมาทิ้งไป
คนมันรักมากมันก็เลยเสียดาย
มันปวดใจจะบอกใครก็ไม่ช่วย
เพราะรักเองเจ็บเอง
ก็อยู่อย่างคนไม่มีแฟน
จะหาใครมาแทน ก็กลัวว่าเขาจะมาซ้ำ
ก็เดี๋ยวนี้คนน่ะใจดำ
เลยคบกันเที่ยวแบบขำขำ
ก็เจ็บประจำ ก็เลยต้องอยู่คนเดียว

ไอ้คนไม่รู้ก็คอยจะถามทำไมไม่หาใคร
ซักคน เข้าใจ และรักจริง ก็ทุกคน ดูแสนดี
ดูจริงใจ
ก็ยินดีที่ได้เจอแต่ no no.. no no no no.. wo.. wo..

ก็เพราะเวลาฉันรักรักจริง
มันมาไม่นิ่งเอาตอนเธอมาทิ้งไป
คนมันรักมากมันก็เลยเสียดาย
มันปวดใจจะบอกใครก็ไม่ช่วย
เพราะรักเองเจ็บเอง
ก็อยู่อย่างคนไม่มีแฟน
จะหาใครมาแทน ก็กลัวว่าเขาจะมาซ้ำ
ก็เดี๋ยวนี้คนน่ะใจดำ
เลยคบกันเที่ยวแบบขำขำ
ก็เจ็บประจำ ก็เลยต้องอยู่คนเดียว

ก็เพราะเวลาฉันรักรักจริง
มันมาไม่นิ่งเอาตอนเธอมาทิ้งไป
คนมันรักมากมันก็เลยเสียดาย
มันปวดใจจะบอกใครก็ไม่ช่วย
เพราะรักเองเจ็บเอง
ก็อยู่อย่างคนไม่มีแฟน
จะหาใครมาแทน ก็กลัวว่าเขาจะมาซ้ำ
ก็เดี๋ยวนี้คนน่ะใจดำ
เลยคบกันเที่ยวแบบขำขำ
ก็เจ็บประจำ ก็เลยต้องอยู่คนเดียว

กีตาร์โป่่ง







เครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายกีตาร์เป็นที่นิยมมากว่า 5,000 ปีเป็นอย่างต่ำ โดยเริ่มเป็นที่นิยมในแถบเอเชียกลาง เรียกว่าซิตาร่า (Sitara) เครื่องดนตรีที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกีตาร์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบมีอายุ 3,300 ปี เป็นหินสลักของกวีอาณาจักรโบราณฮิตไตต์
คำว่ากีตาร์มาจากภาษาสเปนคำว่า guitarra ซึ่งมาจากภาษากรีกอีกทีคือคำว่า Kithara kithara จากหลายแหล่งที่มาทำให้คำว่ากีตาร์น่าจะมีรากศัพท์มาจากภาษาตระกูลอินโดยูโรเปียน guit- คล้ายกับภาษาสันสกฤต ที่แปลว่า ดนตรี และ -tar หมายถึง คอร์ด หรือ สาย คำว่า qitara เป็นภาษาอาราบิก ใช้เรียก Lute lute ส่วนคำว่า guitarra เกิดขึ้นเมื่อเครื่องดนตรีชนิดนี้ถูกนำมาที่ Iberia (หรือ Iberian Peninsular เป็นคาบสมุทรทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ในทวีปยุโรป) โดย Moors
กีตาร์ในยุคปัจจุบัน มาจากเครื่องดนตรีที่เรียกว่า cithara ของชาวโรมัน ซึ่งนำเข้าไปแพร่หลายในอาณาจักรฮิสปาเนีย หรือสเปนโบราณ ประมาณ ค.ศ. 40 จากนั้นเปลี่ยนแปลงรูปแบบจนกลายมาเป็น เครื่องดนตรีที่มี 4 สายเรียกว่า อู๊ด (oud) นำเข้ามาโดยชาวมัวร์ในยุคที่เข้ามาครอบครองคาบสมุทรไอบีเรียน ในศตวรรษที่ 8 ส่วนในยุโรปมีเครื่องดนตรีที่เรียกว่า ลุต (lute) ของชาวสแกนดิเนเวียมี 6 สาย ในสมัย ค.ศ. 800 เป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมในกลุ่มชาวไวกิ้ง
ค.ศ. 1200 กีตาร์ 4 สาย มี 2 ประเภท คือ กีตาร่า มอ ริสกา หรือกีตาร์ของชาวมัวร์ มีลักษณะกลม ตัวคอกว้าง มีหลายรู กับกีตาร่า ลาติน่า ซึ่งรูปร่างคล้ายกีตาร์ในปัจจุบัน คือมีรูเดียวและคอแคบ ในศตวรรษที่ 16 เครื่องดนตรีคล้ายกีตาร์ของชาวสเปน ที่เรียกว่าวิฮูเอล่า เป็นเครื่องดนตรีที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกีตาร์ในปัจจุบัน มีความผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีอู๊ดของชาวอาหรับและลูตของยุโรป แต่ได้รับความนิยมในช่วงสั้น ๆ พบเห็นจนถึงปี 1576
เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่มีรูปลักษณ์เหมือนกีตาร์ในปัจจุบัน เกิดในช่วงยุคปลายของสมัยกลางหรือยุคต้นสมัยเรอเนสซอง (500 กว่าปีที่แล้ว) เป็นช่วงที่มีการใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายกันทั่วโลก ในยุคนั้นกีตาร์มีทั้งแบบ 4 และ 5 สาย สำหรับกีตาร์ที่มี 6 สาย ระบุว่ามีขึ้นในปี 1779 เป็นผลงานของนายแกตาโน วินาซเซีย (Gaetano Vinaccia) ในเมืองเนเปิล อิตาลี แต่ก็ถกเถียงกันว่าอาจเป็นของปลอมสำหรับตระกูลวินาซเซียมีชื่อเสียงในการผลิตแมนโดลินมาก่อน
กีตาร์ไฟฟ้าตัวแรกเริ่มผลิตขึ้นในศตวรรษที่ 20 โดยจอร์จ โบแชมป์ (George Beauchamp) ได้รับสิทธิบัตรในปี 1936 และร่วมกับ ริกเค่นแบ็กเกอร์ (Rickenbacker) ตั้งบริษัท Electro String Instrument ผลิตกีตาร์ไฟฟ้าในช่วงปลายปีทศวรรษที่ 1930 ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1960 จอห์น เลนนอน สมาชิกวงเดอะบีทเทิลส์ใช้กีตาร์ยี่ห้อนี้ ส่งผลให้เครื่องดนตรียี่ห้อนี้มีชื่อเสียงในกลุ่มนักดนตรีในยุคนั้น และในปัจจุบันบริษัทริกเค่นแบ็กเกอร์ เป็นบริษัทผลิตกีตาร์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา[1]

 

กีต้าร์โป่ง

Renaissance guitars
มีขนาดเล็กกว่ากีตาร์คลาสสิก และให้เสียงที่เบากว่ามาก
Classical guitars
กีตาร์คลาสสิก ถือเป็นต้นแบบกีตาร์ในยุคปัจจุบัน มีลูกบิดและแกนพันสายเป็นพลาสติก มีคอหรือฟิงเกอร์บอร์ดขนาดใหญ่ประมาณ 2 นิ้ว ลักษณะแบนราบ สายที่1 และ2 เป็นสายไนล่อน
Portuguese guitar
มี 12 สาย ใช้กับเพลงพื้นเพลงชื่อ Fado ในประเทศโปรตุเกส
Flat-top (steel-string) guitars
มีขนาดใหญ่กว่ากีตาร์คลาสสิก และเสริมความแข็งแรงที่คอ เพื่อรองรับแรงตึงของสาย ให้เสียงที่ใสและดังกว่า สายที่ใช้ สาย1และ2 มีลักษณะเป็นเส้นลวดเปลือย สายที่3-6 เป็นเส้นลวดและมีขดลวดเล็กๆพันเป็นเกลียวเพื่อเพิ่มขนาดของสาย
Archtop guitars
ด้านหน้าจะโค้ง โพรงเสียงไม่เป็นช่องกลม สะพานยึดสายด้านล่างมักเป็นแบบหางปลา นิยมใช้เล่นในดนตรีแจ๊ส
Resonator
หรือ Resophonic หรือ dobro คล้ายกับกีตาร์ Flat-top
12 string guitars
นิยมใช้ใน folk music, blues และ rock and roll มีสายโลหะ 12 สาย
Russian guitars
มี 7 สาย พบในรัสเซีย และ บางประเทศที่แยกจากสหภาพโซเวียตเท่านั้น
Acoustic bass guitars
เป็นกีตาร์เบสในรูปแบบอคูสติก มีสายและเสียงเหมือนกัน โน้ตที่เล่นจะใช้ "กุญแจฟา" ให้เสียงทุ้มต่ำ นุ่มนวล
Tenor guitars
มี 4 สาย
Harp guitars
จะมีสาย harp เพิ่มขึ้นมา จากปกติที่มี 6 สาย สาย harp จะให้เสียงต่ำหรือเสียงในช่วงเบส ปกติจะไม่มีฟิงเกอร์บอร์ดหรือเฟร็ต
Guitar battente
มีขนาดเล็กกว่ากีตาร์คลาสสิก นิยมใช้เล่นกับเครื่องสายอีก 4-5 ชิ้น